พันธะไอออนิก (
Ionic bond ) หมายถึง
แรงยึดเหนี่ยวที่เกิดในสารประกอบที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 อะตอมอะตอมที่มีค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีต่างกันมาก
อะตอมที่มีค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีน้อยจะให้อิเล็กตรอนแก่อะตอมที่มีค่าอิเล็กโตรเนกาติวิตีมาก
และทำให้อิเล็กตรอนที่อยู่รอบๆ อะตอมครบ 8 ( octat rule ) กลายเป็นไอออนบวก
และไอออนลบตามลำดับ เกิดแรงดึงดูดทางไฟฟ้าระหว่างไอออนบวกและไอออนลบ
และเกิดเป็นโมเลกุลขึ้น เช่น การเกิดสารประกอบ NaCl
สมบัติของสารประกอบไอออนิก
1.มีขั้ว เพราะสารประกอบไอออนิกไม่ได้เกิดขึ้นเป็นโมเลกุลเดี่ยว
แต่จะเป็นของแข็งซึ่งประกอบด้วยไอออนจำนวนมาก
ซึ่งยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงยึดเหนี่ยวทางไฟฟ้า
2.ไม่นำไฟฟ้าเมื่ออยู่ในสภาพของแข็ง
แต่จะนำไฟฟ้าได้เมื่อใส่สารประกอบไอออนิกลงในน้ำ ไอออนจะแยกออกจากกัน
ทำให้สารละลายนำไฟฟ้าในทำนองเดียวกันสารประกอบที่หลอมเหลวจะนำไฟฟ้าได้ด้วยเนื่องจากเมื่อหลอมเหลวไอออนจะเป็นอิสระจากกัน
เกิดการไหลเวียนอิเลคตรอนทำให้อิเลคตรอนเคลื่อนที่จึงเกิดการนำไฟฟ้า
3. มีจุหลอมเหลวและจุดเดือดสูง
ความร้อนในการทำลายแรงดึงดูดระหว่างไอออนให้กลายเป็นของเหลวต้องใช้พลังงานสูง
4. สารประกอบไอออนิกทำให้เกิดปฏิกิริยาไอออนิก คือ
ปฏิกิริยาระหว่างไอออนกับไอออน ทั้งนี้เพราะสารไอออนิกจะเป็นไอออนอิสระในสารละลาย
ปฏิกิริยาจึงเกิดทันที
5.สมบัติไม่แสดงทิศทางของพันธะไอออนิก สารประกอบไอออนิกเกิดจากไอออนที่มีประจุตรงกันข้ามรอบ
ๆ ไอออนแต่ละไอออนจะมีสนามไฟฟ้าซึ่งไม่มีทิศทาง
จึงทำให้เกิดสมบัติไม่แสดงทิศทางของพันธะไอออนิก
6. เป็นผลึกแข็ง แต่เปราะและแตกง่าย
กรณีเป็นสารประกอบธาตุคู่
ให้อ่านชื่อธาตุที่เป็นประจุบวก แล้วตามด้วยธาตุประจุลบ โดยลงท้ายเสียงพยางค์ท้ายเป็น
“ไอด์” (ide)
เช่น NaCl อ่านว่า โซเดียมคลอไรด์
กรณีเป็นสารประกอบธาตุมากกว่าสองชนิด
ให้อ่านชื่อธาตุที่เป็นประจุบวก แล้วตามด้วยกลุ่มธาตุที่เป็นประจุลบได้เลย
เช่น CaCO3 อ่านว่า
แคลเซียมคาร์บอเนต
พลังงานกับการเกิดสารประกอบไอออนิก
ในการเกิดสารประกอบไอออนิก
จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายขั้นตอนย่อย ๆ
และแต่ละขั้นตอนย่อยจะมีการเปลี่ยนแปลงพลังงาน เช่น
การเกิดโซเดียมคลอไรด์จากโลหะ
Na
กับก๊าซ Cl2
Na
(s) +1/2 Cl2(g)------> NaCl (s)
การเกิด
NaCl
มีขั้นตอนต่าง ๆ และพลังงานเกี่ยวข้องดังนี้
ขั้นที่
1
(DH1= พลังงานการระเหิด)
Na
(s) -----------> Na (g) DH1= +109 kJ/mol
ขั้นที่
2
(DH2= พลังงานสลายพันธะ)
1/2
Cl2(g) -------------> Cl (g) DH2= +121 kJ/mol
ขั้นที่
3
(DH3= พลังงานไอออไนเซชัน)
Na
(g) ---------------> Na+(g) + e-DH3= +494 kJ/mol
ขั้นที่
4
(DH4= พลังงานสัมพรรคภาพอิเล็กตรอน)
Cl2(g)
+ e---------------> Cl-(g) DH4= -347 kJ/mol
ขั้นที่
5
(DH5= พลังงานแลตทิช)
Na+(g)
+ Cl-(g)------------> NaCl (s) DH5= -787 kJ/mol
เมื่อรวมขั้นที่
1
ถึง 5 เข้าด้วยกันจะได้
Na
(s) + 1/2 Cl2(g)-----------------> NaCl (s) DH = -410 kJ/mol
แสดงว่าการเกิด
NaCl
เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบคายพลังงานเขียนแผนภาพ
แสดงขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพลังงานต่าง ๆ ในการเกิดสารประกอบไอออนิกได้ดังนี้
เรียกแผนภาพดังกล่าวว่าBonr
- Haber cycle
ในการเกิดสารประกอบไอออนิกจากโลหะและอโลหะนั้น
จะมีพลังงานเกี่ยวข้อง 2 แบบ คือ ขั้นที่ 1 , 2
, 3 เป็นแบบดูดพลังงาน ส่วนขั้นตอนที่ 4 และ 5
เป็นแบบคายพลังงาน ดังนั้น
พลังงานในการเกิด
NaCl
(DH) = DH1+ DH2+ DH3+DH4+ DH5
=
(+109) + (+121) + (+494) + (-347) + (-787)
=
-410 kJ/mol
การเกิดสารประกอบไอออนิกจากโลหะกับอโลหะนั้นโดยทั่วไปมีพลังงานเปลี่ยนแปลง
2
แบบคือการเกิดสารประกอบไอออนิกแบบคายพลังงาน จะมีพลังงานในขั้น 1
, 2 , 3 (DH1, DH2และ DH3) ที่ดูดเข้าไปทั้งหมดน้อยกว่า
พลังงานที่คายออกมาจากขั้นที่ 4 และ 5 (DH4และ DH5) และ
*
การเกิดสารประกอบไอออนิกแบบดูดพลังงาน จะมีพลังงานในขั้น 1 ,
2 , 3 (DH1, DH2และ DH3) ที่ดูดเข้าไปทั้งหมดมากกว่า
พลังงานที่คายออกมาจากขั้นที่ 4 และ 5 (DH4และ DH5)
ส่วนมากการเกิดสารประกอบไอออนิกมักจะเป็นแบบคายพลังงาน
โดยเฉพาะการเกิดสารประกอบไอออนิกของธาตุหมู่ 7A
ที่มา : http://pantachemi.weebly.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น